ทำไมสินค้าขายดีแต่ธุรกิจกลับเจ๊ง ? สำหรับบางคนที่ทำธุรกิจเห็นว่าขายของดีจนไม่มีเวลาพักกันเลยแต่ไม่เห็นกำไรในการขายเลย หรือรายได้เข้ามาก็เยอะมาก แต่พอหักค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ ออกไปแล้วก็แทบไม่เหลือเก็บ อันนี้เป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเอามาให้ดูกัน สำหรับสถานการณ์ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนได้เจอ เมื่อขายของไปได้สักระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการค้าขาย จนเรียกว่าเป็นจุดที่ทำให้ถอดใจ เพราะยังไม่มีความรู้ทางด้านการเงินที่ดีพอ เราขอแนะนำคอร์ส เจาะลึกวิธีการบริหารเงิน (ฉบับคนไม่จบการเงิน) เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารการเงินให้คุณ
สำหรับคนค้าขายทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ สิ่งที่ทุก ๆ คนต่างกลัวก็คือ “ขายไม่ดี” หรือ “ขายไม่ได้” แต่ในทางตรงข้าม สิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันคือ “ขายดีจนเจ๊ง” ที่ใคร ๆ ก็มีโอกาสเจอเหตุการณ์นี้ได้ หากไม่มีการวางแผนบริหารจัดการให้ดี
ทำไมสินค้าขายดีแต่ธุรกิจกลับเจ๊ง ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายของออนไลน์นั้นมีสภาพคล่องที่สูง คือมีรายได้หมุนเวียนในการซื้อขายอยู่ไม่ขาด เห็นตัวเลขในบัญชีวิ่งเข้า-ออกตลอดเวลา จนทำให้พ่อค้า แม่ค้าหลงไปกับการที่เห็นตัวเลขเหล่านี้ จนลืมรอยรั่วที่อาจทำให้ธุรกิจค่อย ๆ จมลงแบบที่เราเองไม่รู้ตัว ซึ่งสิ่งที่ทำให้การขายดี กลายเป็นเจ๊งได้มากที่สุดมี 4 ประเด็นด้วยกัน คือ

- คำนวณต้นทุนและกำหนดราคาพลาด
สิ่งที่หลายคนมองข้ามไปในการคิดต้นทุนคือ การมองแต่ต้นทุนที่ไม่ได้เอาต้นทุนผันแปร (ต้นทุนแฝง) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อยที่เกิดขึ้นจริงมาคำนวณในการกำหนดราคาขายด้วย ตัวอย่างเช่น ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่งสินค้า ฯลฯ ทำให้สินค้าที่เราขายไปไม่คุ้มกับต้นทุนรวมที่จ่ายจริง จนกลายเป็นขาดทุน
วิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าอย่างง่าย ๆ คือ การที่เรานำต้นทุนวัตถุดิบ + ค่าแรงงาน + ค่าใช้จ่ายในการผลิต แล้วนำมาหารด้วยจำนวนสินค้าที่ผลิตในครั้งนั้น
ตัวอย่าง : สั่งสินค้า A มาขาย จำนวน 200 ชิ้น ราคาสินค้า 4,000 บาท ขับรถไปรับสินค้า 1,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟ 2,000 บาท
1.1 ต้นทุนคงที่
ต้นทุนคงที่ คือ ต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเป็นประจำ หรือเป็นต้นทุนหลัก
จากตัวอย่าง ซื้อสินค้าราคา 4,000 บาท เมื่อเฉลี่ยกับจำนวนสินค้าทั้งหมด 200 ชิ้น จะมีต้นทุนสินค้าต่อหน่วยเป็นต้นทุนคงที่ 20 บาทต่อชิ้น
1.2 ต้นทุนผันแปร (ต้นทุนแฝง)
ต้นทุนแฝง คือ ต้นทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งต้นทุนส่วนนี้เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน จะอาจมีหรือไม่มีก็ได้ อาทิ ค่าจัดส่งสินค้าหรือค่าเดินทางไปรับสินค้า ค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ
จากตัวอย่าง ขับรถไปรับสินค้า 1,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟ 2,000 บาท รวมค่าใช้จ่าย 3,000 บาท เมื่อนำมาเฉลี่ยกับจำนวนสินค้าทั้งหมด 200 ชิ้น จะมีต้นทุนสินค้าต่อหน่วยเป็นต้นทุนผันแปร 15 บาทต่อชิ้น
ดังนั้น สินค้า A จะมีต้นทุนรวมทั้งสิ้น 35 บาทต่อชิ้น ทันที
(ต้นทุนรวม = ต้นทุนคงที่ + ต้นทุนผันแปร)
ถ้าตั้งราคาขาย โดยอิงจากต้นทุนคงที่อย่างเดียวก็จะทำให้พลาดต้นทุนแฝงที่มีผลทำให้กำไรลดลงได้
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงผู้ค้าบางคนอาจพบว่าธุรกิจของตนมีต้นทุนแฝงสูงมาก จนทำให้กำไรที่แท้จริงไม่เหลือเลย ต่อให้ขายได้จำนวนมากๆ แต่ถ้ายังคำนวณพลาดก็ทำให้เจ๊งได้นั่นเอง

2. ไม่แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีร้านค้า
การรวมบัญชีเงินส่วนตัวกับบัญชีร้านค้าเข้าด้วยกันเป็นก้อนเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรอยรั่วที่พร้อมสร้างรอยร้าวให้กับกิจการได้ เพราะการรวมบัญชีเดียวทำให้จัดการได้ยาก และมักจบด้วยการนำเงินมาใช้ปนกันจนจัดสรรไม่ได้ในที่สุด เช่น เมื่อเราเห็นยอดขายดี เงินเข้ามาในบัญชีมาก ๆ ก็นำเงินก้อนนั้นไปใช้ให้รางวัลตัวเอง อย่างการซื้อรถใหม่ ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือดาวน์บ้านใหม่โดยไม่รู้ว่าเงินที่เอามาใช้จ่ายนั้นเป็นเงินส่วนไหนกันแน่ เราจึงควรแยกบัญชีร้านค้าออกจากบัญชีส่วนตัว รับเงิน-จ่ายเงินตามเป้าหมายของแต่ละบัญชีเท่านั้น
ข้อดีของการแยกบัญชีคือ ทำให้ไม่สับสนระหว่างค่าใช้จ่ายส่วนตัวกับค่าใช้จ่ายของร้านค้า ช่วยทำให้เห็นกำไรและค่าใช้จ่ายในส่วนของร้านได้ชัดเจน ช่วยในการวางแผนการเงินของร้าน ขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้วางแผนการเงินง่ายขึ้นด้วย
3. ไม่จัดสรรค่าใช้จ่าย กำไร เงินออม ให้ชัดเจน
แยกบัญชีอย่างเดียวยังไม่พอ! นอกจากจะต้องแยกบัญชีร้านออกจากบัญชีส่วนตัวแล้วการจัดสรรเงินบัญชีของร้านให้ชัดเจน คือ อีกเรื่องที่เราต้องทำให้ติดจนเป็นนิสัย เพราะจะสามารถช่วยให้ใช้จ่าย ตัดสินใจลงทุนเพิ่ม หรือทำอะไรต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และเห็นตัวเงินชัดเจนที่สุด เราขอแนะนำให้แบ่งสัดส่วนเงินออกเป็นหลาย ๆ ก้อน เช่น เงินในส่วนนี้สำหรับค่าเช่า อีกส่วนเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ รายรับจากลูกค้า รายจ่ายค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายพนักงาน (และอย่าลืมจ่ายค่าจ้างตัวเองด้วย) เงินออม เป็นต้น
การแบ่งค่าใช้จ่ายอาจใช้วิธีแบ่งโดยเปิดบัญชีย่อย ๆ แยกต่างหาก หรือใช้แอปพลิเคชันใน Mobile Banking ก็ได้ ซึ่งข้อดีของการจัดสรรเงินส่วนต่าง ๆ ให้ขาดจากกันคือ ทำให้เราสามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น เห็นภาพรวมว่าเงินในแต่ละส่วนเพิ่มขึ้นหรือลดลง มีงบประมาณเท่าไหร่บ้าง และที่สำคัญคือจะทำให้ไม่ลืมเตรียมเงินในส่วนที่ต้องจ่ายประจำในแต่ละเดือนอีกด้วย

4. ไม่ทำบัญชี
การไม่ทำบัญชีจะทำให้ธุรกิจของเราเจ๊งได้โดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นแล้วนอกจากการแยกบัญชีส่วนตัวกับร้านค้าออกจากกันแล้ว ยังควรทำ “บัญชี” อย่างสม่ำเสมอ ในส่วนการทำบัญชีของร้านค้าออนไลน์อาจไม่ต้องละเอียดยิบเหมือนนักบัญชี แต่ต้องทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมด และเข้าใจง่ายโดยตั้งต้นจาก 5 หัวข้อสำคัญ ได้แก่
– วันเดือนปี ที่มีการรับเงินหรือจ่ายเงิน
– รายการ ลงรายละเอียดว่าเราได้รับเงินหรือจ่ายเงินจากเรื่องอะไรบ้าง
– รายรับ บันทึกจำนวนเงินที่ทางร้านได้รับเข้ามา เช่น ค่าสินค้าที่ขายได้
– รายจ่าย บันทึกจำนวนเงินที่จ่ายออกไป
– ยอดรวมรายเดือน เป็นช่องสำหรับรวมเงินในแต่ละเดือนในตอนสิ้นเดือน
ข้อดีของการทำบัญชีทุกเดือนไม่เพียงช่วยเตือนความจำเท่านั้น แต่ยังช่วยให้วางแผนค่าใช้จ่ายในเดือนต่อไปได้อีกด้วย เช่น นำรายการที่บันทึกไว้มาวิเคราะห์ต่อว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนไหนที่เกิดความจำเป็น หรือสามารถนำงบที่มีอยู่ไปเสริมในด้านใดได้อีกบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อถึงเวลายื่นภาษี เราก็มีข้อมูลพร้อมใช้ ไม่ต้องไปไล่ดูย้อนหลังให้เสียเวลา
จะเห็นได้ว่าจาก 4 ประเด็นข้างต้นที่ทำให้ขายดีจนเจ๊ง ส่วนใหญ่มาจากเรื่องการบริหารจัดการทางการเงินภายในร้านแทบทั้งสิ้น ฉะนั้นใครก็ตามที่ทำร้านค้าออนไลน์ แล้วสามารถจัดการต้นทุน แยกบัญชี จัดสรรเงิน ทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอได้ รวมกับการขายที่ดี ก็ยิ่งมีโอกาสสำเร็จไม่ตกอยู่ในสถานะ “ขายดีจนเจ๊ง” อย่างแน่นอน
แล้วสำหรับใครที่คิดว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เราขอแนะนำคอร์ส เจาะลึกวิธีการบริหารเงิน (ฉบับคนไม่จบการเงิน) ที่จะเพิ่มพูนความรู้ให้ทุกคนเอง
__________________________________________________________________________
ช่องทางติดตามอื่น ๆ
Facebook: https://www.facebook.com/youmooc
LINE: @youmooc (อย่าลืมใส่ @) [https://lin.ee/thXVOy0]