Storytelling หรือการเล่าเรื่อง เป็นวิธีการหรือเครื่องมือประเภทหนึ่ง ของการจัดการความรู้ ในการดึงเอาความรู้ หรือประสบการณ์ ที่มีอยู่ในตัวออกมาเล่า หรือถ่ายทอดให้บุคคลอื่นฟัง ซึ่งการเล่าเรื่องที่ดี ยังเป็นสิ่งที่ทำให้สินค้านั้นสร้างความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นให้กับผู้ซื้อ แล้วเราควรเล่าเรื่องยังไงให้สินค้าของเรากันนะ? เพราะ การเล่าเรื่องก็มีหลายรูปแบบเหลือเกิน งั้น YOU MOOC ขอแนะนำ 7 วิธีการสร้าง Storytelling ให้เป็นที่จดจำ โดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหลายครั้ง เทคนิคจะมีอะไรบ้างตามมาอ่านกันได้เลย…
7 สูตรการสร้าง Storytelling
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Before-After-Bridge
การเล่าเรื่องแบบก่อน – หลังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยมีวิธีการเล่าที่นำเสนอปัญหาที่ให้ผู้อ่านเข้าใจถึงว่าสิ่ง ๆ นี้ เป็นปัญหาให้กับตัวเขา และอธิบายถึงอนาคตว่าเมื่อเขาได้รับการแก้ปัญหาแล้วผลที่จะได้รับเป็นอย่างไร เมื่อเขาได้เห็นภาพก่อน – หลังแล้ว เราก็อธิบายเขาว่าหนทางในการแก้ปัญหานั้นจะต้องใช้สิ่งใดเป็นตัวช่วย โดยสามารถนำสินค้าของเราเป็นตัวช่วยให้เขาไปถึงเป้าหมายนั้นได้
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Problem-Agitate-Solve
การเล่าเรื่องแบบนี้ เป็นการที่เราจะเล่าถึงปัญหาที่เขาเกิดขึ้น หรือสิ่งที่เคยเจอมา จากนั้นเราก็ทำการเน้นย้ำถึงปัญหาเหล่านั้นให้เขารู้สึกว่ามันรุนแรง ให้เขารู้สึกทางอารมณ์ว่ามันรุนแรงจริง ๆ และในที่สุดเราก็จะแสดงให้เห็นว่าสินค้า หรือแบรนด์ ของเรานั้นจะช่วยสามารถแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Features-Advantages-Benefits
การเล่าเรื่องสูตรนี้ จะเป็นบอกถึงคุณสมบัติของสินค้าว่า สินค้าของเรานั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้นจะพูดถึงข้อดีของสินค้าว่าสินค้าของเรานั้น จะสามารถช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างไร และสุดท้ายก็จะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าทำไมเขาถึงควรสนใจสินค้าของแบรนด์เรา ถ้ามีสินค้าแบรนด์เราเขาจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Three-Act Structure
การเล่าเรื่องแบบนี้ จะคล้ายกับการเล่านิทาน ที่ถูกนำมาใช้ในละครยอดนิยมหลายเรื่อง ทั้งภาพยนตร์ การ์ตูน หรือบทกวีก็ตาม การเล่าเรื่องแบบนี้ ในฉากแรกจะเป็นการแนะนำตัวละครหลักของเรื่อง และฉากหลักที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วตามมาด้วยการเจอปัญหาอุปสรรค ซึ่งอุปสรรคเหล่านั้นจะปรากฎขึ้นเพื่อขัดขวางตัวละครหลักจากเป้าหมายนั้น อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งดูเหมือนว่าแก้ปัญหาไม่สำเร็จ และปิดท้ายด้วยชัยชนะของตัวละครหลัก ที่ได้ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค
- สูตรการเล่าเรื่อง แบบ Freytag’s Pyramid: Five-Act Structure
การเล่าเรื่องแบบนี้อาจมีขั้นตอนที่มากกว่า ขึ้นตอนอื่นแต่ทำให้ลูกค้าอินกับเรื่องราวของสินค้าของเราได้ โดยเริ่มจากการเล่าถึงเบื้องหลังของตัวละครเสียก่อน ต่อด้วยต้นเหตุที่ส่งผลกระทบที่ทำให้ตัวละครมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนมาถึงฉากที่สำคัญ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาของตัวละคร จนมาถึงจุดเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้ตัวละครเกิดความตึงเครียด สับสนมากที่สุด หลังจากผ่านจุดสำคัญนั้นแล้วตัวละครอาจแพ้ หรือชนะก็ได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวละครเปลี่ยนไป และตัวละครก็ทำการแก้ไขปัญหา หรือต่อสู้กับปัญหานั้นต่อไป จนเมื่อได้ก้าวข้ามปัญหามาได้ ตัวละครอาจมีความสุข หรือเศร้าก็ได้
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Simon Sinek’s Golden Circle
การเล่าเรื่องในรูปแบบนี้จะเกิดจากการตั้งคำถามเสียก่อนว่าทำไม? อย่างเช่น คำถามที่ว่าทำไมเราต้องรีดผ้า? เพราะการรีดผ้านั่นเสียเวลา แถมยังไปเพิ่มค่าใช้จ่ายในการที่ต้องเสียค่าไฟสูง ๆ ในทุกเดือนด้วย ตามมาด้วยสินค้านี้จะช่วยลูกค้าได้อย่างไรบ้าง? ซึ่งเป็นการขายจุดขายของสินค้าว่าสินค้าเราแตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร อย่างเช่น จะดีกว่าไหมถ้าเสื้อที่เราใส่นั้นเรียบได้โดยไม่ต้องรีด และจบด้วยสินค้าของเราคือเสื้อแบรนด์… นี้เอง
- สูตรการเล่าเรื่องแบบ Dale Carnegie’s Magic
การเล่าเรื่องแบบนี้มี 3 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ เริ่มจากการเล่าจากประสบการณ์ของเราเองเพื่อช่วยให้คนฟัง หรือคนอ่านได้รู้สึกร่วมไปด้วย และตามมาด้วยการลงมือปฏิบัติ ที่ต้องมีความชัดเจนเพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าใจได้ทันที และจบด้วยปรโยชน์ที่จะได้รับที่แสดงให้เห็นว่าเขาจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างเมื่อทำตาม
อันนี้ก็เป็น 7 เทคนิคการเล่าเรื่องที่ YOU MOOC นำมาฝากทุกคน หากอยากเรียนรู้เพิ่มเติมจากวิทยากรผู้มีความชำนาญ เราขอแนะนำคอร์ส
Story Telling – The Key Differentiation for Modern Day Leaders
สิ่งที่คุณจะได้เรียนในคอร์สนี้:
1. เทคนิคการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
2. วิธีการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง
3. ความรู้เกี่ยวกับการพรีเซนต์งาน
4. เทคนิคการพรีเซนต์งานให้ได้งาน
5. วิธีการวางสไลด์งานให้สวยงามและน่าอ่านดึงดูด
6. การเลือกสี ภาพและไอค่อนสำหรับการใช้พรีเซนต์งาน
คอร์สนี้เหมาะกับใคร:
1. ผู้ที่ต้องการฝึกทักษะการพูดและการสื่อสาร
2. ผู้ที่อยากนำเสนองานให้ฉะฉาน กระชับ และเข้าใจง่าย
3. ผู้ที่ต้องเรียนรู้เรื่องการขายงานให้สำเร็จ
4. ผู้ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ PowerPoint, Keynote, Canva
5. ผู้ที่อยากพัฒนาด้านการออกแบบพรีเซนต์งานให้ดูดีและเป็นมืออาชีพ
__________________________________________________________________________
ช่องทางติดตามอื่น ๆ
Facebook : https://www.facebook.com/youmooc
LINE : @youmooc (อย่าลืมใส่ @) [https://lin.ee/thXVOy0]
Shopee : YOU MOOC
Lazada : YOU MOOC