จิตวิทยา คือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ, กระบวนการคิด และพฤติกรรมของมนุษย์ จิตวิทยา ยังมีความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมที่เกิดขึ้น, ความคิดสติปัญญา, อารมณ์ รวมถึงการตัดสินใจ
ในส่วนของลูกค้าหรือผู้บริโภค เองนั้นก็มีปัจจัยที่เป็นอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อสินค้าแต่ละครั้งเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ความเชื่อและทัศนคติ ซึ่งหมายถึงความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ความเชื่อนั้นอาจเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเสริมสร้างทัศนคติของผู้บริโภค แต่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับความชอบหรือไม่ชอบที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ความเชื่อของผู้บริโภคนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการได้พูดคุยกับผู้บริโภคอื่น ๆ ก็ได้ โดยที่ความเชื่อสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ โดยรูปแบบแรก ได้แก่ ความศรัทธา ความรัก ความชื่นชม ซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น การยอมรับ, ความร่วมมือ, การช่วยเหลือ และการลงมือปฏิบัติ ส่วนความเชื่ออีกรูปแบบ จะนำไปสู่พฤติกรรมที่แสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา เช่น รู้สึกผิด เจ็บใจ และวิตกกังวล เป็นต้น ส่วนทัศนคติ หมายถึงแนวความคิดหรือท่าทีของผู้บริโภคที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ทางด้านของ ผู้ขาย KOL และ Influencer ก็สามารถนำเทคนิคทางจิตวิทยามาใช้เพื่อมาโน้มน้าวให้ลูกค้าหรือผู้ติดตามสามารถอยากซื้อสินค้าเหล่านั้นได้เช่นกัน ยิ่งถ้าเราเป็นมือใหม่มาก ๆ สิ่งที่สำคัญเลยนั่นก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม ให้คล่องแคล่วในทุกประเด็น ซึ่งต้องอธิบายได้ว่า “ต้องการอะไร, ทำไม, อย่างไร และเพื่ออะไร”
สิ่งที่สำคัญที่มักจะลืมกันในการนำเสนอ คือหัวใจการกระตุ้น หรือเร้าให้ผู้ที่ดูอยู่ตัดสินใจในการซื้อ หรือเห็นความชัดเจน จนมั่นใจในการตัดสินใจตามที่เรานำเสนอหรือชี้นำให้เห็นถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อการตัดสินใจของเขาซึ่งมีเทคนิคดังนี้
เทคนิคในการพูดเชิง จิตวิทยา
1. กระตุ้นให้เกิดความอยาก
เราต้องพยายามนำเสนอสิ่งที่เป็นจุดแข็ง รวมถึงจุดขายที่โดนใจลูกค้า หรือคนดูให้เกิดความรู้สึก อยากมี อยากได้ อยากเป็นเจ้าของสินค้าชิ้นนี้ ฯลฯ เราจึงต้องนำเสนอถึงคุณสมบัติที่ดี วิวัฒนาการที่ล้ำหน้า พัฒนามามากขนาดไหน ของสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นมีอะไรบ้าง โดยให้นึกถึงความรู้สึกและความต้องการของลูกค้า หรือให้ลองสมมุติว่าตัวเองเป็นลูกค้าที่ต้องการซื้อของ ว่าเราต้องการรู้ข้อมูลใดบ้างจากผู้ขาย แล้วพูดในมุมที่ลูกค้าอยากได้ยิน ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากพูด ซึ่งการที่เราพูดในมุมมองลูกค้านั้นจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าได้
2. ชี้ให้เห็นความสำคัญ
สินค้าหลายชนิดหรือเรื่องราวที่เราเห็นผ่านตาหลายเรื่อง ถ้ามองผิวเผิน หรือไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เราก็มักไม่ค่อยให้ความสำคัญสักเท่าไหร่ แต่ในมุมของเราที่เป็นผู้นำเสนอสินค้าแล้วเราต้องชี้ให้ลูกค้า หรือผู้ชมเห็นจุดที่สำคัญ ๆ จุดต่าง ๆ ที่สัมผัสได้และเป็นจริงให้ผู้ที่ฟังอยู่คล้อยตามไปกับเราได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความสำคัญ” ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ จนความคิดเห็นคล้อยตามเราที่นำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด
3. เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง
การที้เราจะอธิบายหรือเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่เราจะพูดถึงกับสิ่งที่มีโดยทั่วไป โดยที่เราต้องมีข้อมูลเชิงลึกทั้งสินค้าของเราเอง และสินค้าที่เป็นคู่แข่งในท้องตลาด เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกของทั้งสองมาเปรียบเทียบ ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่าง โดยเฉพาะความแตกต่างที่เป็นข้อดีของสินค้าเราที่คู่แข่งไม่มี เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้เกิดขึ้น เพราะบางครั้งลูกค้าอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่าทำไมสินค้าของเราถึงมีราคาสูงกว่าของคนอื่น เราจึงต้องเปรียบเทียบคุณสมบัติที่ดีกว่าของสินค้าเราให้ลูกค้ามองเห็นถึงความแตกต่างที่สินค้าเรามี แต่สินค้าแบรนด์ของคู่แข่งในตลาดไม่มี
4. ชี้ให้เห็นถึงความดีกว่า เหนือกว่า คุ้มค่ากว่า
การที่เราชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องพูดโดยยึดหลักของความเป็นจริงของสินค้าด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจโดนว่าทีหลังก็ได้ เราจึงควรพูดเชิงเปรียบเทียบให้เห็นว่า “ดีกว่าอย่างไร เหนือกว่าอย่างไร หรือคุ้มค่ากว่าตรงไหน” อย่างเช่น ดีกว่าด้านคุณภาพ, คุ้มค่ากว่าในด้านราคา, เหนือกว่าในด้านนวัตกรรมที่นำมาใช้ การแยกเป็นประเด็นแบบนี้จะทำให้ลูกค้าเห็นความชัดเจน เข้าใจง่าย และมีอารมณ์คล้อยตาม ในสิ่งที่เราจะนำเสนออย่างเป็นเหตุเป็นผล
5. ขู่ให้กลัว
เคล็ดลับข้อสุดท้าย ถือเป็นสุดยอดของการใช้ศิลปะในการนำเสนอให้ลูกค้าหรือผู้ชมตัดสินใจได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น แต่เราต้องใช้เทคนิคนี้อย่างมีศิลปะโดยให้ลูกค้าไม่รู้สึกว่ากำลังถูกขู่เหมือนโดนบังตับให้ซื้อสินค้า อย่างเช่น
- มีดีกว่าไม่มี
- ซื้อดีกว่าไม่ซื้อ
- ถ้าซื้อที่อื่นอาจไม่ดีเท่าที่ซื้อกับเรา
ประโยคเหล่านี้ถือว่าเป็นประโยคที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกกังวลใจ หากไม่ตัดสินใจตามที่เรานำเสนอไป ในทางตรงกันข้ามเราก็ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจ พอใจ หากตัดสินมจตามที่เราอธิบายให้ฟัง
การใช้เทคนิคทั้ง 5 ข้อนี้เราก็ต้องนำไปใช้อย่างกลมกลืนและมีประสิทธิภาพ และหากเราจะทำการแฝงโฆษณาสินค้าเหล่านั้นเราก็ควรนำเสนอโดยใช้เทคนิคเหล่านี้ให้กลมกลืน ไม่ใช่การพูดโดยใช้ 5 เทคนิคนี้แบบโต้ง ๆ อยากเรียนรู้การ Tie-in ให้ปังต้องไม่พลาดกับคอร์ส
คอร์สที่จะมาสอนในเรื่องของ
1. วิธีการนำเสนอสินค้าให้น่าดึงดูด
2. วิธีการตอบคำถามให้ดูเป็นมืออาชีพ
3. วิธีการโพสต์ท่ากับสินค้าสำหรับภาพนิ่งให้ดูโดดเด่น
คอร์สนี้เหมาะกับใคร
1. ผู้ที่ต้องการพัฒนาด้านการพูดให้เป็นมืออาชีพ
2. ผู้ที่อยากเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง
3. ผู้ที่เรียนรู้วิธีการโพสต์ถ่ายภาพนิ่งให้ดูดี
4. ผู้ที่อยากทำงานทางด้าน Influencer และ KOL
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
สร้างกำไรให้การขายแบบ E-Commerce
ทักษะการขายยุคใหม่ ขายอย่างไรให้ได้ใจลูกค้า
__________________________________________________________________________
ช่องทางติดตามอื่น ๆ
Facebook: https://www.facebook.com/youmooc
LINE: @youmooc (อย่าลืมใส่ @) [https://lin.ee/thXVOy0]
Shopee: YOU MOOC
Lazada: YOU MOOC