การทำการตลาดแบบ Personalization ได้เหมาะสม จะช่วยสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด Gartner (บริษัทวิจัยและผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลก) คาดการณ์ว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จกับ E-Commerce Personalization จะช่วยเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ ได้อย่างต่ำ 15% และไม่มีขีดจำกัดเลยว่า การทำการตลาดแบบนี้จะพาเราไปได้ไกลแค่ไหน เช่นเดียวกัน จำนวนกลยุทธ์ในการทำก็มีมากมาย ไม่มีขีดจำกัดว่าจะไปจบที่กี่แนวทาง วันนี้ YOU MOOC เลยขอแนะแนวทาง กลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลจริง ให้ทุกคนเอง
10 กลยุทธ์ E-Commerce Personalization ที่ได้ผลจริง
1. ปรับแต่งโฮมเพจ
โฮมเพจหรือหน้าแรกเป็นหนึ่งในหน้ายอดนิยมของร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ ซึ่งควรทำให้เป็นหน้าที่เหมาะสมสำหรับการโฆษณาข้อเสนอของตัวผลิตภัณฑ์ และโปรโมชั่นปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมหน้าโฮมเพจ หรือเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาควรเห็นลิงค์ และหมวดหมู่ของสินค้าที่เขาต้องการรายการแนะนำ และผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาพึ่งดูผ่านไป คุณอาจมีความกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมาก แต่คุณก็สามารถจัดระเบียบหน้าแรกของคุณในวิธีการที่ง่ายต่อการดูได้ เพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่าการส่งเสริมการขายทั้งหมดที่ปรากฎสำหรับผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด
2.การแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปรับตามความต้องการของแต่ละบุคคล
เมื่อคุณดูร้านค้าออนไลน์ คุณก็มักจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่คุณอาจจะมีความสนใจก็ได้ ซึ่งเป็นคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปรับเปลี่ยนตามการเรียกดู หรือพฤติกรรมการซื้อของคุณนั่นเอง ซึ่งจุดนี้เป็นกลวิธีในการปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน และคุณก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- ผู้เข้าชมที่ดูสินค้านี้ ยังดูสินค้า…นี้ด้วย
- ผู้ชมที่ซื้อสินค้าชิ้นนี้ ยังซื้อสินค้า…นี้เพิ่ม
- ไอเทมที่กำลังมาแรงในช่วงนี้..
- สินค้าที่คัดมาให้คุณโดยเฉพาะ
ซึ่งการเลือกวิธีที่ดีที่สุดอยู่ที่บริบท แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำแล้วได้ผลจริง จากการวิจัยโดย Smart Insights แสดงให้เห็นว่าคำแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปรับตามบุคคลสามารถสร้างรายได้ได้สูงถึง 68% ของรายได้จาก E-Commerce ทั้งหมด
3.การตลาดอีเมลตามพฤติกรรมของผู้ใช้
การทำการตลาดแบบส่งอีเมลติดตามผล และจดหมายข่าวที่ปรับตามบุคคลเพื่อเสนอส่วนลดสำหรับรายการสินค้า ที่นักช้อปมีความสนใจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร่งด่วนในการซื้อด้วยข้อเสนอแบบจำกัดเวลา ซึ่งอาจจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับคุณได้ทันที เช่น ลด 50% ภายในเวลา 18.00 น. นี้เท่านั้น
4.ปรับแต่งโปรโมชั่นอีเมลให้เข้ากับลูกค้าแต่ละคน
ทุกวันนี้การส่งโปรโมชั่น หรือการโฆษณาโปรโมชั่นที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าของคุณนั้นง่ายกว่าสมัยก่อน เพราะแฟลตฟอร์มการวิเคราะห์ส่วนใหญ่เป็นการเชื่อมต่อกับระบบขายอยู่แล้ว 91% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ากับแบรนด์ที่มีข้อเสนอและคำแนะนำที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการทำธุรกิจที่อีเมลส่งเสริมการขายทุกฉบับจะต้องมีคุณค่าต่อผู้ที่ได้รับอีเมลเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นอีเมลของคุณที่ส่งหาลูกค้าจะเป็นเพียงอีเมลขยะ และอัตราการยกเลิกการสมัครจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นคุณสามารถแบ่งกลุ่มฐานของลูกค้าคุณได้หลายวิธี รวมถึงตามสถานที่ ความสนใจ อายุ เพศ เงินเดือน และอื่น ๆ อีกมากมาย จากนั้นคุณก็สามารถสร้างโปรโมชั่นสำหรับการขายเฉพาะส่วนที่คุณได้แบ่งออกมาตามฐานของลูกค้า และเป็นการตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้
6.การเสนอขาย Upsell เมื่อสิ้นสุดการซื้อของแต่ละคน
อีกโอกาสหนึ่งสำหรับการสร้างข้อเสนอส่วนบุคคล คือ ระหว่างขั้นตอนการชำรพชะเงิน การทำแบบนี้มักจะส่งผลอย่างมีประสิทธิภาพที่สูง เนื่องจากผู้เข้าชมได้เริ่มซื้อของแล้วจึงอยู่ใน “โหมดการซื้อ” การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเมื่อผู้คนกำลังซื้อสินค้าอยู่นั้นเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง สามารถใช้งานได้ดีเป็นพิเศษหากคุณนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เสริมกับผลิตภัณฑ์ที่ผู้เข้าเยี่ยมชมกำลังอยู่อยู่นั้น
7.กำหนดเป้าหมายคนที่กำลังออกจากเว็บไซต์ด้วยข้อเสนอพิเศษโดยเฉพาะ
การทิ้งรถเข็นกลางทางเป็นความท้าทายของการขายของออนไลน์ และ Personalization ก็มีอีกวิธีสำหรับการแก้ไขปัญหาคือการเสนอข้อเสนอเฉพาะบุคคล เพื่อให้ผู้เข้าชมที่มีแนวโน้มจะทิ้งรถเข็นที่ช่วยดึงดูดให้พวกเขากลับเข้าไปทำการสั่งซื้อจนจบ หรืออย่างน้อยก็สมัครลงชื่อเพื่อรับข่าวสารหรือกิจกรรมบนเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อแบรนด์ในนาคต
8. รายการสินค้าที่ดูล่าสุด
เมื่อคุณเข้าดูเว็บไซต์ คุณอาจจะยังไม่ได้มีอารมณ์ที่จะต้องซื้อสินค้าจากเว็บฯ เหล่านั้นเสมอไปทันที บางครั้งอาจเป็นเพียงแค่การคลิกไปเรื่อย ๆ ดูรายการที่ชอบอย่างละเอียด แล้วก็ไปหน้าเว็บอื่น การแจ้งเตือนผู้เยี่ยมชมถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการในครั้งต่อไปที่เข้ามาเยี่ยมชมร้านของคุณอีกครั้งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการจับพวกเขาเมื่อเขาอยู่ในช่วงอารมณ์ที่จะซื้อ และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ลืมสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ของคุณ
9.ช่วยเหลือผู้ใช้ในการนะทางเว็บไซต์ของคุณ
เมื่อเว็บไซต์ของคุณเติบโตขึ้น คุณสามารถคาดหวังได้ 2 สิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือ คุณจะได้รับการเข้าชมมากยิ่งขึ้น กับ เว็บไซต์ของคุณใช้งานยากขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่ายิ่งคุณเพิ่มเพจในร้านค้าออนไลน์มากขึ้นเท่าไหร่ ลูกค้าก็จะยิ่งค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการยากมากยิ่งขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องคำนึงถึง E-Commerce Personalization เมื่อออกแบบเลย์เอ้าท์ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ ตัวอย่างเช่น อีคอมเมิร์ซแฟชั่นอาจเปลี่ยนเส้นทางของผู้เยี่ยมชมไปที่หน้าสินค้าผู้หญิง เมื่อเห็นว่าผู้เข้าเยี่ยมชมนั้นเคยมองหากลุ่มสินค้าผู้หญิงมาก่อน
10.แสดงร้านค้าที่ใกล้ที่สุดสำหรับเวลารับ และปิดทำการ
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการซื้อสินค้าออนไลน์ คือ ลูกค้าไม่สามารถรับสินค้าได้ในทันที เมื่อลูกค้าเยี่ยมชมร้านค้าที่มีหน้าร้านจริง ลูกค้าสามารถตรวจสอบและซื้อสินค้าได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้สินค้ามาถึง ผู้ค้าปลีกสามารถเอาชนะปัญหานี้ได้โดย 2 วิธี โดยการจัดส่งในวันเดียวกัน หรือวันถัดไป และอีกวิธีคือการให้ลูกค้าสามารถรับสินค้าภายในร้านได้ หรือที่เรียกว่า omni-channel marketing การรับสินค้าในร้านกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองบริเวณใกล้ร้านค้า และผู้ที่ต้องการประหยัดค่าส่ง การแสดงร้านค้าที่ใกล้ลูกค้าที่สุดในหน้าสินค้าและให้เลือกรับสินค้าในร้านได้ระหว่างการชำระเงิน รวมถึงแจ้งเวลาปิดทำการ ทำให้ลูกค้าที่ต้องการสินค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
สำหรับเจ้าของธุรกิจ หรือพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์สามารถนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันได้เลยค่ะ และหากอยากรู้เทคนิคดี ๆ เพิ่มเติมเราขอแนะนำคอร์ส กลยุทธ์สร้างยอดขาย สไตล์ e-Commerce ของ YOU MOOC เลย
__________________________________________________________________________
ช่องทางติดตามอื่น ๆ
Facebook: https://www.facebook.com/youmooc
LINE: @youmooc (อย่าลืมใส่ @) [https://lin.ee/thXVOy0]