บทบาทสำคัญของ AI สำหรับธุรกิจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ล้าสมัยที่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพ และว่าที่สตาร์ทอัพ เพราะถ้าเราสามารถใช้เครื่องมีเหล่านั้นมาช่วยธุรกิจได้จะส่งผลดีต่อกิจการได้ ใช้เครื่องมือบริหาร ทำงานได้ร้อยเท่า
เนื่องจาก AI ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้มาอยู่ในชีวิตประจำวันเราหลายรูปแบบ ปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ ได้นำเทคโนโลยี AI เข้าไปใช้กับบริษัทหรือองค์กรกันมากขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ และสามารถช่วยลดค่าใช้ได้ นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงปรับปรุงการดำเนินงานของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถือได้ว่าปัจจุบันเป็นยุคของ AI เลยทีเดียว
AI คืออะไร?
AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เกิดจากการวิจัยและพัฒนาระบบสมองกลของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้มีความสามารถในการเรียนรู้ด้าน ข้อมูล, รูปภาพ, การจดจำรูปแบบ, การคิด, วิเคราะห์ รวมถึงการคาดการณ์และตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ได้แบบเดียวกับมนุษย์ แต่ได้เพิ่มขีดความสามารถให้มีความเฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาที่มีความซับซ้อนหรือการทำงานซ้ำซากต่าง ๆ แทนมนุษย์ได้ โดยใช้เวลาที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด

ความสำคัญของเทคโนโลยี AI ในธุรกิจ
ในปัจจุบันที่โลกเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารจำนวนมากมาย รวมถึงความต้องการของลูกค้าที่มีความซับซ้อนและพร้อมปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา กระบวนการทางธุรกิจและลักษณะงานในศตวรรษที่ 21 จึงมีความยุ่งบากซับซ้อน และท้าทายมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นที่ต้องใช้ความรู้และทักษะขั้นนสูงซึ่งศักยภาพของมนุษย์มีขีดจำกัด จึงทำให้การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพมากพอต่อการแข่งขันรวมถึงมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เมื่อบริษัทไม่สามารถพึ่งพาเพียงแค่เทคโนโลยีแบบเดิมในการทำธุรกิจได้อีกต่อไป การหามุมมองความเป็นไปได้ใหม่ ๆ อย่างเทคโนโลยี AU เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและแข่งขันได้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
5 บทบาทสำคัญของ AI สำหรับธุรกิจ
1.เทคโนโลยี AI กับการบริการลูกค้า (Customer Service)
การบริการลูกค้าเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจ ซึ่งการสื่อสารถือเป็นสิ่งแรก ซึ่งเมื่อก่อนการสื่อสารต้องอาศัยมนุษย์เป็นหลัก แต่เมื่อมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI เข้ามา ทำให้มีการคิดค้นและพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Chatbot เพื่อเป็นสิ่งที่ช่วยสื่อสารและสนับสนุนการให้บริการลูกค้า โดยแชทบอทสามารถตอบคำถามที่ลูกค้าถามมาได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด แถมยังมีความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ แยกแยะความแตกต่างของการสนทนาเลียนแบบคำพูดของมนุษย์ได้ด้วย
จากการศึกษาของ American Marketing Association (AMA) พบว่าการใช้แชทบอท สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ และทำให้รายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานให้กับบริษัทขนาดใหญ่ อีกมุมก็คือการช่วยเติมเต็มช่องว่างให้กับบริษัทขนาดเล็กที่ยังไม่มีงบจ้างทีมบริการลูกค้าโดยเฉพาะ ตัวอย่างของ Sephora คือ ผู้ช่วยนัดหมายแต่งหน้ากับผู้เชี่ยวชาญของ Sephora ผ่านแชทบอทบน Facebook Messenger
เพียงแค่ลูกค้าบอกว่าอยู่ที่ไหนแล้วบอทจะค้นหาตำแหน่งร้านที่ใกล้ที่สุด พร้อมทำการนัดหมายวันและเวลาที่ลูกค้าสะดวกให้โดยอัตโนมัติ ภายหลังเปิดให้บริการฟีเจอร์นี้พบว่าลูกค้าสามารถจองคิวนัดหมายสำเร็จด้วย 3 ขั้นตอน โดยมียอดจองคิวเพิ่มขึ้นถึง 11% ในสหรัฐอเมริกา แถมลูกค้าที่จองคิวผ่านบริการนี้ยังมียอดการใช้จ่ายที่หน้าร้านโดยเฉลี่ยมากกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ

2.เทคโนโลยี AI กับการขนส่งสินค้า (Logistic)
ธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่มาแรงคู่กับ E-Commerce ซึ่งการใช้เทคโนโลยี AI สามารถนำมาช่วยปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นระบบหลังบ้าน งาน Operation การให้บริการและต่อยอดประสบการณ์ของลูกค้า ตัวอย่างการประยุกต์ AI ด้านโลจิสติกส์ คือการใช้ AI ในการจดจำสินค้าจากรูปภาพ พร้อมย้ายสินค้าลงใน Store ให้อัตโนมัติ, ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้า เช่น ค้นหาเส้นทางในการจัดส่งสินค้าได้รวดเร็วที่สุด, วิเคราะห์ความผันผวนของปริมาณการจัดส่งสินค้าทั่วโลก รวมถึงการคาดเดาพฤติกรรมเพื่อวางแผนจัดส่งสินค้าล่วงหน้า ตัวอย่างของ Domino’s Robotic หรือ DRU คือหุ่นยนต์ส่งพิซซ่าในรูปแบบยานพาหนะขนส่งไร้คนขับตัวแรกของโลก ภายใต้แบรนด์ Domino Pizza รูปลักษณ์ภายนอกจะคล้ายรถสี่ล้อทั่วไป มีช่องที่บรรจุพิซซ่าได้มากถึง 10 ถาด ทำหน้าที่เป็นเตาอบและตู้เย็นแบบใช้พลังงานที่ต่ำ จึงสามารถขนส่งทั้งของร้อนหรือของเย็นก็ได้ ทำให้อาหารที่ส่งถึงลูกค้ามีความสดใหม่เหมือนการมาทานที่ร้าน นอกจากนี้ DRU สามารถขับเคลื่อนบนทางเท้าโดยจะเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดจากร้านไปถึงบ้านของลูกค้า โดยมีการใช้ความเร็วที่ปลอดภัย พร้อมทั้งยังมีระบบเซนเซอร์ที่ช่วยหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางระหว่างทางด้วย

3.เทคโนโลยี AI กับการตลาดแบบ Personalized Marketing
ในปัจจุบันนี้แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพราะเมื่อแบรนด์สามารถเข้าถึงใจของผู้บริโภคได้ในระดับบุคคลแล้ว การนำเสนอสินค้า, ผลิตภัณฑ์, บริการ และโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลาก็เป็นเรื่องง่าย แถมช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลมีหลายรูปแบบ เช่น Geo-location คือ การนำเสนอสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับสถานที่ที่ลูกค้าไปบ่อย หรือกำลังอยู่ในขณะนั้น, Real-time Moment ซึ่งเป็นการนำเสนอสินค้าและบริการขณะที่ลูกค้ากำลังใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้น ตัวอย่าง Subway ที่เป็นแบรนด์ขายแซนวิชชื่อดัง ได้มีการร่วมมือกับ IBM Watson นำเทคโนโลยี AI ที่มีชื่อว่า WEATHERfx Footfall with Watson มาใช้ประมวลผลสภาพอากาศร่วมกับยอดขาย และจำนวนก้าวของลูกค้าที่รวบรวมจากร้าน Subway ในแต่ละสาขาเพื่อมาปรับแต่งการโฆษณาเพื่อนำมาเสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสมตามสภาพอากาศในช่วงนั้น เช่น ในช่วงที่มีสภาพอากาศที่ร้อน AI จะดึงโฆษณาแซนวิชร้อน ๆ ออกโดยอัตโนมัติ แล้วปรับเป็นเมนูของทานเล่น หรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ซึ่งทำให้มีลูกค้า Subway มีจำนวนมากขึ้น วัดได้จากจำนวนก้าวในร้านที่เพิ่มขึ้น 31% นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดงบสำหรับการซื้อมีเดียได้ถึง 53% และลดการแสดงผลโฆษณาที่สูญเปล่าได้ประมาณ 8 ล้านครั้ง
4.เทคโนโลยี AI กับการลงทุน
เจ้าหน้าที่วางแผนด้านการเงินและการลงแผนทุนและบริษัทหลักทรัพย์มักเจอกับปัญหาในการเข้าถึงความต้องการของลูกค้ารายบุคคล รวมทั้งไม่สามารถตอบสนองและรองรับการให้บริการลูกค้าจำนวนมากภายในเวลารวดเร็วได้ ซึ่งในปัจจุบันได้มีการคิดค้นเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ที่รวมศักยภาพของอัลกอริทึม การจัดการ Big Data และปัญญาประดิษฐ์ มาผนึกกับความเชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาด้านการเงิน เพื่อช่วยวิเคราะห์ และวางแผนการลงทุนเบื้องต้นให้กับลูกค้าได้อัตโนมัติซึ่งสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มมือใหม่ที่พึ่งหัดลงทุน ตัวอย่าง บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCBS) ได้มี ROBO ADVISOR ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยวางแผนด้านการลงทุนในรูปแบบ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยออกแบบและบริหารพอร์ตกองทุนรวมอัตโนมัติ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ความต้องการ และระดับความเสี่ยงที่รับได้ของนักลงทุนแต่ละคน โดยช่วยคัดเลือกกองทุนรวมที่มีศักยภาพ ปรับพอร์ตให้เหมาะสมตามภาวะตลาดพร้อมกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุด ทำให้ลูกค้าสามารถติดตามและจัดการพอร์ตลงทุนของตัวเองได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน โดยไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติม จึงช่วยประหยัดเงินมากกว่าการใช้บริการแบบ Human Advisorนอกจากนักลงทุนจะได้รับความสะดวกสบาย และความพึงพอใจที่มากขึ้นแล้ว ROBO ADVISOR ยังช่วยลดภาระงานในส่วนการดูแลลูกค้ารายย่อย จึงช่วยให้พนักงานมีเวลาทุ่มเทเพื่อปิดดีลกับลูกค้ารายใหญ่ที่มีความต้องการด้านการลงทุนที่ซับซ้อนกว่า

5.เทคโนโลยี AI กับกระบวนการสรรหาบุคลากร
ในหลายบริษัทได้มีการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการคัดกรอง ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้สมัครงานเบื้องต้นผ่านระบบอัตโนมัติของ AI ที่สามารถประมวลผลภาษาธรรมชาติโดยไม่มีอคติของมนุษย์จึงช่วยให้บริษัทหาบุคลากรที่มีคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานอย่างแท้จริง
ซึ่งเหมาะกับบริษัทที่มีผู้สนใจสมัครงานเป็นจำนวนมาก และมีการแข่งขันที่สูงในหลายตำแหน่งงาน เพราะ AI สามารถช่วยลดเวลาและภาระงาน, ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างบริษัท Recruitment หรือ Headhunter ตัวอย่าง Robot Vera บริษัท Pepsico มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บริษัท Pepsico ต้องการพนักงาน 250 ตำแหน่งให้ได้ภายในเวลา 2 เดือน
ด้วยเวลาที่จำกัดและจำนวนผู้สมัครมีจำนวนที่เยอะ จึงได้เลือกใช้ Robot Vera เข้ามาเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้สมัครและสัมภาษณ์ ผลปรากฏว่า Robot Vera สามารถสัมภาษณ์ผู้สมัครจำนวน 1,500 คน โดยใช้เวลาเพียง 9 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับการใช้คนสัมภาษณ์แบบเดิมอาจต้องใช้เวลานานถึง 9 สัปดาห์
เมื่ออ่านบทความนี้จบแล้วทุกคนก็เห็นความสำคัญของ AI ในโลกธุรกิจกันมากขึ้น และหากเรากำลังจะเริ่มทำธุรกิจสักอย่างอาจจะมีการเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ก่อน อย่างการปูพื้นฐานด้านเว็บไซต์, การจด Domain เว็บไซต์ รวมถึงการสร้างเว็บไซต์ และ SEO ที่จำเป็นต่อธุรกิจ เราขอแนะนำพื้นฐานเหล่านั้นกับคอร์ส ใช้เครื่องมือบริหาร ทำงานได้ร้อยเท่า
__________________________________________________________________________
ช่องทางติดตามอื่น ๆ
Facebook: https://www.facebook.com/youmooc
LINE: @youmooc (อย่าลืมใส่ @) [https://lin.ee/thXVOy0]